ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ผู้ผสานชะตากรรมส่วนตัวเข้ากับชะตากรรมของบ้านเมือง
ในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยไทย มีบุคคลไม่มากนักที่เรื่องราวชีวิตและถ้อยคำของเขา เดินเคียงคู่กับประวัติศาสตร์การเมือง อย่างแนบแน่นเท่ากับ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักคิด–นักเขียน–นักต่อสู้ ผู้ผ่านทั้งยุครุ่งเรืองของความหวัง ยุคมืดของความสูญเสีย และฤดูกาลแห่งความเงียบงันที่ผลิบานด้วยสติและปัญญา
เสกสรรค์ คือผู้ที่ “ชีวิต” และ “งานเขียน” ไม่เคยแยกออกจากกันได้เลย
ถ้อยคำของเขาไม่ใช่เพียงวรรณศิลป์ หากคือบันทึกของผู้เห็นโลกจากค่ายนักศึกษา
จากร่มไม้ในป่าใหญ่
จากห้องเรียนของมหาวิทยาลัย
และจากความเงียบลึกของจิตใจที่ผ่านพ้นมาแล้วสารพัดบททดสอบของยุคสมัย
เกิดปี พ.ศ. 2493 ที่ชลบุรี เติบโตด้วยความฝันของเด็กหนุ่มที่เชื่อมั่นในคุณค่าของเสรีภาพ—เสกสรรค์สอบเข้า คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกลายเป็นหนึ่งในผู้นำนักศึกษาที่เปล่งเสียงในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เสียงของเขาในวันนั้น มิใช่เสียงตะโกน หากคือถ้อยคำที่พยายามรักษาความสงบของฝูงชน มองการณ์ไกลกว่าชั่วอารมณ์วูบเดียวของการเมืองบนท้องถนน
เมื่อการเมืองไทยผันผวนไปสู่ความรุนแรง เขาและเพื่อนร่วมอุดมการณ์—รวมถึงจิระนันท์ พิตรปรีชา ผู้เคยเป็นคู่ชีวิต—ต้องก้าวเข้าสู่ราวป่า กลายเป็น “สหายไท” ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ระหว่างปี 2518–2523
มิตรภาพ ความหวัง และความขัดแย้งในป่าใหญ่ ได้หล่อหลอมคำเขียนของเขาจนกลายเป็นวรรณศิลป์ที่มีเลือดเนื้อของชีวิตจริง
แม้จะเกิดความเห็นต่างกับกรรมการกลางของพรรค จนนำไปสู่การถอนตัวและกลับเมือง แต่ประสบการณ์นั้นได้ฝากรอยลึกไว้ในถ้อยคำของเขา รอยลึกที่งดงาม ร้าวราน และซื่อตรงต่อความจริงอย่างยิ่งยวด
หลังได้รับนิรโทษกรรมจากคำสั่ง 66/2523 เสกสรรค์กลับมาสร้างงานทางปัญญาอย่างหนักแน่น
เขาศึกษาต่อระดับโทที่ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ และจบปริญญาเอกในปี พ.ศ. 2530 ก่อนกลับมาเป็นอาจารย์รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
กระทั่งก้าวขึ้นเป็น คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ในปี 2536–2538
ตำราที่เขาเขียน บทความที่เขาแปล รวมถึงงานวิจัยล้วนเป็นผลงานที่สะท้อนความเข้าใจสังคมอย่างลึกซึ้ง เขาได้รับ รางวัลวิจัยปรีดี พนมยงค์ เป็นคนแรกในปี พ.ศ. 2545
ก่อนจะได้รับ รางวัลศรีบูรพา ร่วมกับธีรยุทธ บุญมี ในปี พ.ศ. 2546
เสกสรรค์มิได้เป็นเพียงนักคิดการเมือง แต่เป็นนักเขียนที่มีความงามในวิญญาณ
งานเขียนของเขาร้อยเรียงด้วยภาษาละเมียดละไม ลุ่มลึก และซื่อสัตย์
ผลงานเด่นที่กลายเป็นเกียรติยศของศิลปินแห่งชาติ ได้แก่
ฤดูกาล – เรื่องสั้นชุดแรก เขียนขึ้นในป่า แต่ยังอบอวลด้วยความหวังในมนุษย์
ดอกไผ่ – เรื่องสั้นที่จับภาพชีวิตบน “เวทีกระดาษ” ได้อย่างมีชีวิตชีวา
ฟองเวลา – กวีนิพนธ์ที่อ่อนโยน รำพึง และคิดคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
รวมบทความทรงคุณค่า เช่น การผ่านพ้นของยุคสมัย, ผู้ชายที่กำลังสูญพันธุ์, จลาจลทางปัญญา, ถ้าหากไม่มีวันนั้น ฯลฯ
ภาษาของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว—พลิ้วไหวเหมือนลมเหนือผืนน้ำแต่หนักแน่นด้วยน้ำหนักประสบการณ์
อ่านแล้วเหมือนฟังผู้ใหญ่เล่าความจริงด้วยใจอ่อนโยน
อ่านแล้วเหมือนได้เดินดูโลกช้าๆ เพื่อจะเห็นว่าความงามนั้นมีอยู่ในทุกความแตกสลาย
ปี พ.ศ. 2552 เสกสรรค์ได้รับการประกาศเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์
เป็นการเชิดชูเกียรติแก่ผู้ที่ใช้ถ้อยคำสร้างสะพานเชื่อมคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง
ให้มองเห็นว่า
“การต่อสู้ไม่ใช่ศึกสงคราม หากคือความรับผิดชอบที่มนุษย์มีต่อความยุติธรรมและศักดิ์ศรีของตนเอง”
ในบทความมากมาย เขาได้เตือนให้เราเห็นว่า ยุคสมัยอาจปั่นป่วนเพียงใด แต่ปัญญาที่แท้ย่อมเรียบง่าย—เหมือนเสียงลมที่พัดผ่านดอกไผ่ ไม่มีสิ่งใดสามารถควบคุมได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรสูญหาย คือความซื่อตรงต่อ “หัวใจของมนุษย์”
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล คือ “พยานของยุคสมัย”
ผู้ผ่านความคึกคักของการเมืองบนท้องถนน
ความหิวหนาวในราวป่า
ความคิดอ่านในห้องวิจัย
และความสงบอันเปี่ยมปัญญาในห้องเขียนหนังสือ
เรื่องราวชีวิตของเขาไม่ใช่เพียงชีวประวัติ หากคือบทเรียนว่า
ประเทศชาติเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคนธรรมดาที่ไม่ยอมย่อท้อ
และวรรณกรรมสามารถเป็นหนทางรักษาความจริงของมนุษย์ไว้ได้อย่างงดงามที่สุด
ร้อยเล่มเกวียน
